ประกันออมทรัพย์ กับ ประกันตลอดชีพ
เปรียบเทียบประกันออมทรัพย์ กับ ประกันตลอดชีพ ข้อดี ข้อด้อยของแต่ละแบบว่าเหมาะกับใคร
ประกันออมทรัพย์ (Endowment Insurance)
ข้อดี:
- เน้นการออม: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสะสมเงินเพื่อเป้าหมายเฉพาะ เช่น การศึกษาบุตร หรือเกษียณ
- มีเงินคืนเมื่อครบกำหนด: จะได้รับเงินก้อนเมื่อครบกำหนดสัญญา ซึ่งช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเงินได้ดีขึ้น
- ลดหย่อนภาษีได้: เบี้ยประกันสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
- ความคุ้มครองในระยะสั้นถึงกลาง: มีระยะเวลาการคุ้มครองที่แน่นอน ทำให้เหมาะกับการวางแผนการเงินระยะกลาง
เหมาะกับใคร:
- ผู้ที่ต้องการสะสมเงินออมเพื่อเป้าหมายเฉพาะในระยะสั้นถึงกลาง เช่น การศึกษาบุตร หรือการเตรียมเงินก้อนสำหรับเกษียณ
- ผู้ที่ต้องการความคุ้มครองชีวิตพร้อมกับการสะสมเงินไปด้วย
ประกันชีวิตตลอดชีพ (Whole Life Insurance) เป็นประกันที่ให้ความคุ้มครองตลอดชีวิตของผู้เอาประกันจนกว่าจะเสียชีวิต โดยทั่วไปจะมีการจ่ายเบี้ยประกันเป็นรายปีตลอดช่วงชีวิต หรืออาจจ่ายถึงอายุที่กำหนดไว้ เช่น 5 -15คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของกรมธรรม์
ข้อดีของประกันชีวิตตลอดชีพ:
- ความคุ้มครองตลอดชีวิต: ผู้เอาประกันจะได้รับความคุ้มครองตลอดชีวิต โดยไม่จำเป็นต้องต่ออายุกรมธรรม์
- มูลค่าเงินสดสะสม: กรมธรรม์จะมีการสะสมมูลค่าเงินสด (Cash Value) ซึ่งสามารถนำมาใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือขอกู้ได้
- ผลตอบแทนที่แน่นอน: เมื่อครบกำหนดอายุกรมธรรม์ ผู้เอาประกันสามารถรับผลตอบแทนที่แน่นอนได้
- สามารถใช้เป็นมรดก: เมื่อผู้เอาประกันเสียชีวิต ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินเอาประกัน ซึ่งสามารถใช้เป็นมรดกส่งต่อให้กับทายาทได้
ความเหมาะสมของประกันชีวิตตลอดชีพ:
- สำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงทางการเงินระยะยาว: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ครอบครัวมีความมั่นคงทางการเงินเมื่อเสียชีวิต
- สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนมรดก: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้ประกันเป็นเครื่องมือในการส่งต่อทรัพย์สินให้กับลูกหลาน
ประกันชีวิตตลอดชีพมีข้อดีที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ เพื่อให้เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินและความต้องการส่วนตัวของคุณ